วันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ม 2 กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและประเทศ

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและประเทศ


กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและประเทศ
          กฎหมายเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของไทยได้นำทรัพยากรธรรมชาติมาพัฒนาประเทศ ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติลดลง จึงมีการตรากฎหมายเพื่อคุ้มครองและส่งเสริมอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ได้แก่
                    – กรมทรัพยากรธรณี
                    – กรมควบคุมมลพิษ
                    – กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
                    – กรมทรัพยากรน้ำ
                    – กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
                    – กรมอุทยานแห่งชาติ
                    – กรมป่าไม้




          กฎหมายที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติที่สำคัญ ได้แก่
                    – พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
                    – พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507
                    – พระราชบัญญัติน้ำบาดาล พ.ศ. 2520
                    – พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
                    – พระราชบัญญัติสวนสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
                    – พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535
                    – พระราชบัญญัติคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ พ.ศ. 2551

          พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 มีสาระสำคัญดังนี้
                    คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีอำนาจและหน้าที่หลายประการที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
                    กองทุนสิ่งแวดล้อม เป็นกองทุนที่มีหน้าที่บริหารเงินกองทุนเพื่อใช้ในด้านสิ่งแวดล้อม กำหนดให้ดำเนินการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ดังนี้
                              – การกำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม
                              – การวางแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม
                              – การกำหนดเขตอนุรักษ์และพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม
                              – การทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม

          การควบคุมมลพิษ กำหนดให้ดำเนินการควบคุมมลพิษ ดังนี้
                    – การให้คณะกรรมการควบคุมมลพิษ
                    – การกำหนดมาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิด
                    – การกำหนดเขตควบคุมมลพิษ
                    – มลพิษทางอากาศและเสียง
                    – มลพิษทางน้ำ
                    – มลพิษอื่นและของเสียอันตราย
                    – การตรวจสอบและควบคุม

          กฎหมายภาษีอากร
                    ประเภทของภาษีอากร มี 2 ประเภท คือ
                               – ภาษีทางตรง หมายถึง ภาษีที่ผู้เสียภาษีจะผลักภาระภาษีให้ผู้อื่นไม่ได้ โดยจัดเก็บจากฐานรายได้หรือฐานทรัพย์สินในอัตราก้าวหน้า
                               – ภาษีทางอ้อม หมายถึง ภาษีที่ผู้เสียภาษีผลักภาระภาษีไปให้ผู้อื่นได้ ซึ่งอาจถูกผลักไปให้ผู้บริโภคในรูปของการขึ้นราคาสินค้าและบริการ
          ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เก็บจากเงินได้ของบุคคลธรรมดาที่มีเงินได้ หากไม่มีกฎหมายยกเว้นภาษี

          ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ
                    – บุคคลธรรมดา คือ บุคคลที่มีชีวิตอยู่ หากมีเงินได้ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำที่ประมวลรัษฎากรกำหนด
                    – ผู้ถึงแก่ความตาย อาจเป็นกรณีที่ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี อาจได้เงินถึงเกณฑ์ที่ประมวลรัษฎากรกำหนด
                    – กองมรดกที่ยังมิได้แบ่ง ถ้าไม่ได้แบ่งเด็ดขาด และกองมรดกนั้นก่อให้เกิดเงินได้พึงประเมินถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี
                    – ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล

          เงินได้พึงประเมินและแหล่งเงินได้
                     เงินได้พึงประเมิน แบ่งออกเป็น 8 ประเภท ได้แก่
                               – ประเภทที่ 1 ได้แก่ เงินได้จากการจ้างแรงงาน
                               – ประเภทที่ 2 ได้แก่ เงินได้จากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ หรือจากการรับทำงานให้
                               – ประเภทที่ 3 เช่น ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ หรือค่าความนิยม ค่าลิขสิทธิ์หรือสิทธิอย่างอื่น เงินปีที่ได้มาจากพินัยกรรม
                               – ประเภทที่ 4 เช่น ดอกเบี้ย เงินปันผล เงินส่วนแบ่ง
                               – ประเภทที่ 5 คือ เงินหรือประโยชน์อื่นที่ได้จากนิติกรรม
                               – ประเภทที่ 6 คือ เงินได้จากวิชาชีพอิสระ
                               – ประเภทที่ 7 คือ เงินที่ได้จากการรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุน
                               – ประเภทที่ 8 คือ เงินได้จากการประกอบธุรกิจ

                     แหล่งเงินได้ แบ่งเป็น
                               – แหล่งในประเทศ
                               – แหล่งนอกประเทศ
          การยื่นแบบแสดงรายการและการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรต้องยื่นแบบแสดงรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินที่ตนได้รับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
          การกรอกแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีวิธีกรอกดังนี้
                     – กรอกรายละเอียดให้อ่านได้ง่าย ชัดเจน และถูกต้องสมบูรณ์
                     – โปรดตรวจทานรายการที่จัดพิมพ์มา
                     – กรอกรายละเอียดเกี่ยวกับวันเดือนปีเกิดของผู้มีเงินได้และคู่สมรสให้ชัดเจน
                     – คนต่างด้าวผู้ไม่มีเลขบัตรประจำตัวประชาชน ให้กรอกเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร

          สถานที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษี
                     – ในกรุงเทพมหานคร ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา หรืออาจยื่นแบบทางไปรษณีย์ส่งไปยังกองคลัง กรมสรรพากรได้
                     – ต่างจังหวัด ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา หรือยื่นได้ที่สำนักงานสาขาทุกสาขาของธนาคารพาณิชย์ของไทย
                     – ผู้เสียภาษีจะต้องยื่นแบบและชำระภาษีที่ธนาคารในอำเภอหรือกิ่งอำเภอท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่ หรืออาจจะยื่นทางไปรษณีย์ โดยส่งไปยังสำนักบริหารการคลังและรายได้ กรมสรรพากร อาคารกรมสรรพากร

          กฎหมายแรงงาน พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2551 เป็นกฎหมายที่คุ้มครองแรงงานให้ใช้แรงงานอย่างเป็นธรรม
                    การใช้แรงงานทั่วไป
                              การทำงานปกติ แต่ละวันของลูกจ้างได้ไม่เกิน 8 ชั่วโมง
                              การทำงานล่วงเวลา ต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อน
                              การลา มี 5 ประเภท คือ
                                        – ลาป่วย การลาป่วยตั้งแต่ 3 วันทำงานขึ้นไป ลูกจ้างต้องแสดงใบรับรองแพทย์
                                        – ลาเพื่อทำหมัน ลาได้ตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนด
                                        – ลาเพื่อกิจธุระอันจำเป็น
                                        – ลาเพื่อรับราชการทหาร
                                        – ลาเพื่อฝึกอบรม เพื่อฝึกอบรมหรือพัฒนาความรู้ความสามารถ
                    การกำหนดวันหยุด มี 3 ประเภท คือ
                              – วันหยุดประจำสัปดาห์ ไม่น้อยกว่า 1 วัน และ ระยะห่างไม่เกิน 6 วัน
                              – วันหยุดตามประเพณี โดยรวมวันแรงงานแห่งชาติด้วย
                              – วันหยุดพักผ่อน ลูกจ้างที่ทำงานครบ 1 ปี มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ปีหนึ่งไม่น้อยกว่า 6 วันทำงาน
                    การใช้แรงงานหญิง กฎหมายกำหนดข้อห้ามไว้ดังนี้
                              – ห้ามทำงานที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือร่างกาย
                              – ห้ามหญิงมีครรภ์ทำงานในส่วนของเครื่องจักรหรือเครื่องยนต์ที่มีความสั่นสะเทือนหรืองานขับเคลื่อนหรือติดไปกับยานพาหนะ หรืองานที่ต้องใช้แรงงานหนัก
                    การใช้แรงงานเด็ก นายจ้างต้องปฏิบัติดังนี้
                              – แจ้งพนักงานตรวจแรงงานภายใน 15 วัน
                              – บันทึกสภาพการจ้างงานที่เปลี่ยนไปจากเดิมเก็บไว้
                              – แจ้งการสิ้นสุดการจ้างแรงงานต่อพนักงานตรวจภายใน 7 วัน
                    การจ้างเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี นายจ้างห้ามปฏิบัติดังนี้
                              – ห้ามมิให้จ้างเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี
                              – ห้ามมิให้ลูกจ้างที่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ทำงานในระหว่างเวลา 22.00 น. ถึง 6.00 น. เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิบดีหรือผู้ที่อธิบดีมอบหมาย ยกเว้นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีที่เป็นผู้แสดงภาพยนตร์ ละคร
                              – ห้ามมิให้ลูกจ้างที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ทำงานล่วงเวลาหรือทำงานวันหยุด
                              – ห้ามมิให้ลูกจ้างที่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีทำงานที่อันตราย
                              – ห้ามมิให้ลูกจ้างที่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ทำงานสถานที่ที่ไม่เหมาะสม
                              – ห้ามมิให้นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกัน
                              – ห้ามมิให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างของลูกจ้างที่เป็นเด็กให้แก่บุคคลอื่น
          นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างที่เป็นเด็กมีเวลาพักวันหนึ่งไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมงติดต่อกัน หลังจากที่ลูกจ้างทำงานมาแล้วไม่เกิน 4 ชั่วโมง ลูกจ้างที่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี มีสิทธิลาเพื่อเข้าประชุม สัมมนา รับการอบรม รับการฝึก หรือลาเพื่อการอื่น แต่ปีหนึ่งต้องไม่เกิน 30 วัน
          ค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด
                    การจ่ายค่าจ้างปกติ กรณีงานที่มีลักษณะและคุณภาพของงานอย่างเดียวกันและมีปริมาณเท่ากัน ต้องจ่ายค่าจ้างด้วยเงินตราไทย
                    การจ่ายค่าจ้างกรณีต่าง ๆ มีดังนี้
                              – วันหยุด นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงาน
                              – ลาป่วย ลูกจ้างที่ลาป่วยมีสิทธิได้รับค่าจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานปกติ แต่ต้องไม่เกิน 30 วัน
                              – ลารับราชการทหาร ลูกจ้างที่ลาเพื่อรับราชการทหารมีสิทธิได้รับค่าจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานปกติ แต่ต้องไม่เกิน 60 วัน
                              – ลาคลอด ลูกจ้างหญิงที่ลาคลอดบุตรมีสิทธิได้รับค่าจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานปกติ แต่ต้องไม่เกิน 45 วัน
                              – ทำงานล่วงเวลา นายจ้างต้องจ่ายค่าล่วงเวลาแก่ลูกจ้างไม่น้อยกว่า 1 เท่าครึ่งของค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงาน
                              – ทำงานในวันหยุด นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้าง 2 กรณี คือ กรณีแรก ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุด นายจ้างต้องจ่ายเพิ่มขึ้นจากค่าจ้างปกติไม่น้อยกว่า 1 เท่าของค่าจ้างต่อชั่วโมง กรณีที่สอง ลูกจ้างที่ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุด นายจ้างต้องจ่ายไม่น้อยกว่า 2 เท่าของค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงาน
                              – ทำงานล่วงเวลาในวันหยุด นายจ้างต้องจ่ายค่าล่วงเวลาในวันหยุดแก่ลูกจ้างไม่น้อยกว่า 3 เท่าของค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงาน
                              – ทำงานน้อยกว่าวันหยุดที่กำหนด ปกติองค์กรต้องมีวันหยุด 13 วันใน 1 ปี หากนายจ้างไม่ให้ลูกจ้างหยุดงานหรือหยุดงานน้อยกว่า 13 วัน ต้องจ่ายค่าทำงานและค่าล่วงเวลาในวันหยุดแก่ลูกจ้างเสมือนทำงานในวันหยุด

          กฎหมายปกครอง
                    กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปกครอง มี 2 แบบ ดังนี้
                              – การปกครองแบบรวมอำนาจ หมายถึง การปกครองแบบรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางเพื่อเป็นการประสานงานทั่วไปของรัฐบาล โดยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2539
                              – การปกครองแบบกระจายอำนาจ หมายถึง การปกครองที่รัฐมอบอำนาจให้กับองค์กรปกครองอื่น ๆ โดยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 และพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. 2542



แหล่งที่มาของเนื้อหา : สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช www.wpp.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เทคนิคการสอนครูเเบงค์

https://vt.tiktok.com/ZS8nJWJkx/